English
ภาษาไทย
ในยุคสมัยที่โลกมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จากหน้าจอทีวีขาวดำจอเล็ก เปลี่ยนผ่านมาสู่ทีวีสีจอตู้ฐานใหญ่ จนมาถึงจอมอนิเตอร์ที่ใหญ่และบางอย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน ซึ่งการใช้งานหน้าจอก็ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างหลากหลาย อีกทั้งยังมีตัวเลือกทั้งจอ LED กับ LCD ให้หลายคนต้องสงสัยว่าคืออะไร มีความแตกต่างกันอย่างไร และหากต้องการใช้งานจอ LED หรือ LCD สำหรับการประชุม บนเวทีในองค์กร หรือแม้แต่ใช้งานทั่วไป ควรจะต้องเลือกอย่างไร วันนี้เราจึงจะพาไปทำความรู้จักหน้าจอกันให้มากขึ้น เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อ!
ทำความรู้จัก จอ LED และ LCD คืออะไร
จอ LED
LED ย่อมาจาก Light Emitting Diode ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีที่ส่องสว่างจากด้านหลังของจอภาพ ทำให้ได้ความสดใสของสีและภาพที่คมชัด เนื่องจากหลอดที่ใช้เป็นหลอด LED หรือที่เรียกว่า ไดโอดเปล่งแสง ซึ่งเป็นตัวนำให้เกิดการเปล่งแสงออกมาเมื่อมีไฟฟ้าไหลผ่าน ทำให้มีอายุการใช้งานที่มากกว่า และใช้พลังงานน้อยกว่า โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
จอ LED Backlight คือจอ LED ที่หลอด LED ทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงหลัก แสงจากหลอด LED จะส่องผ่านฟิล์มสีและกระจกใสเพื่อสร้างภาพบนหน้าจอ
จอ LED Direct-View คือจอ LED ที่หลอด LED แต่ละพิกเซลทำหน้าที่เป็นแหล่งกำเนิดแสงของตัวเอง แสงจากหลอด LED แต่ละพิกเซลจะสร้างภาพบนหน้าจอโดยตรง
จอ LCD
LCD ย่อมาจาก Liquid Crystal Display ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีที่ส่องสว่างจากด้านหลังของจอภาพเหมือนกับจอ LED เพียงแต่มีการใช้หลอดส่องสว่าง CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) แทน ซึ่งให้สีสันที่สมจริง โดยเป็นหลอดไฟขนาดเล็ก ๆ ที่มีสารปรอทเป็นส่วนผสมในการผลิต และทำงานร่วมกับ Color Filter ทั้ง 3 สี แดง น้ำเงิน และเขียว ในการแสดงผลออกมาเป็นสีสันต่าง ๆ
ไขคำตอบ จอ LED กับ LCD ต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจอ LED และจอ LCD คือ จอ LED ใช้หลอด LED เป็นอุปกรณ์กำเนิดแสง ในขณะที่จอ LCD ใช้หลอดส่องสว่าง CCFL เป็นอุปกรณ์กำเนิดภาพ ซึ่งความแตกต่างนี้ทำให้จอ LED และจอ LCD มีข้อดีที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถสรุปได้ ดังนี้
จอ LED
- ข้อดี เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะไม่มีสารปรอทเป็นส่วนผสมในการผลิต สามารถแสดงสีสันได้อย่างดี มีความคมชัด อีกทั้งยังประหยัดพลังงาน สามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน
- ข้อเสีย มีราคาสูง
จอ LCD
- ข้อดี ให้สีสันที่สมจริงและมีราคาที่ถูกกว่าจอ LED
- ข้อเสีย ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมีสารปรอทเป็นส่วนผสมในการผลิตและมีความร้อนที่สูงกว่า LED
ปัจจัยในการเลือกใช้จอ LED และจอ LCD ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
ลักษณะการใช้งาน
สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง คือการพิจารณาว่าต้องการใช้จอ LED หรือจอ LCD สำหรับงานประเภทใด เช่น การใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างการเป็นจอโทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ หรือนำไปใช้งานเฉพาะเป็นจอบนเวทีสำหรับการประชุม เพื่อให้สามารถเลือกจอได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับการนำไปใช้งาน
ความต้องการ
พิจารณาความต้องการเฉพาะและเงื่อนไขในการนำไปใช้งาน โดยมีปัจจัยที่ต้องพิจารณา เช่น
- ความสว่าง เนื่องจากความสว่างมีผลต่อความสามารถในการมองเห็นภาพ โดยเฉพาะในที่ที่มีแสงสว่างเยอะ ซึ่งจอ LCD จะให้ความสว่างที่สูงกว่า แต่จอ LED จะมีความละเอียดสูงกว่า จึงทำให้สามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า แม้ในตอนกลางวัน
- มุมมองภาพ ส่งผลสำคัญในการเลือกใช้งาน หากต้องการใช้งานในมุมมองที่หลากหลาย เช่น การใช้งานจอสำหรับการประชุมก็ควรเลือกจอ LED เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า In-Plane Switching (IPS) ซึ่งช่วยให้มุมมองภาพกว้างขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานจอร่วมกับผู้อื่น
- ขนาดจอ ควรเลือกขนาดจอที่เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น หากเป็นจอคอมพิวเตอร์ทั่วไปควรมีขนาดจอ 22-27 นิ้ว จอโทรทัศน์ควรมีขนาดจอ 40-65 นิ้ว แต่หากเป็นจอในห้องประชุมที่ต้องการนำเสนองานก็ควรเป็นขนาดใหญ่ที่เหมาะกับห้อง
- ความละเอียดของภาพ ความละเอียดของภาพควรเลือกให้เหมาะสมกับขนาดจอ หากจอมีขนาดใหญ่ ควรเลือกความละเอียดของภาพสูง เพื่อให้ภาพมีความคมชัดและรายละเอียดสูง
ได้รู้ความแตกต่างของจอ LED และจอ LCD กันไปแล้วว่าคืออะไร พร้อมทั้งปัจจัยควรพิจารณาเพื่อการเลือกซื้อไปแล้ว ก็ต้องลองตัดสินใจกันดูว่าแบบไหนที่จะคุ้มค่า มีประสิทธิภาพเหมาะกับการใช้งานของคุณมากที่สุด
หากใครกำลังมองหาจอคุณภาพดีเพื่อใช้งานอย่างหลากหลาย ลองพิจารณาจอ LED ที่เหมาะสำหรับการใช้งานในห้องประชุม บนเวที หรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ จาก GYGAR เพราะมีให้เลือกทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ตามความต้องการ สามารถปรับเปลี่ยนรูปภาพและเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว รองรับทั้งไฟล์ภาพและวิดีโอ สามารถติดตั้งได้ทั้งบนฐาน ผนัง หรือแบบแขวน และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน คุ้มค่าเหมาะสำหรับทุกองค์กร สอบถามราคาและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมได้ที่ Call Center: 0-2582-2285 หรือ add ID LINE: @GYGAR
ข้อมูลอ้างอิง
